วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

3 เคล็ดลับผิวสวยแบบญี่ปุ่น


3 เคล็ดลับ ผิวสวย แบบสาวญี่ปุ่น

By admin — May 02, 2012
3 เคล็ดลับ ผิวสวย แบบสาวญี่ปุ่น
… เดินผ่านนักท่องเที่ยวสาวชาวญี่ปุ่นทีไร สาวไทยอย่างเราก็แอบนึกอิจฉาผิวหน้าใสๆ ขาวอมชมพู  เรียบเนียนของพวกเธอไม่ได้   วันนี้เรามีวิธีการดูแลผิวของบรรดาสาวๆ แดนปลาดิบมาฝาก ว่าเธอเหล่านั้นมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่
ผิวของสาวญี่ปุ่นนั้นอาจจะมองว่าเป็นผิวคนละแบบกัน  ความขาวของสาวไทยอาจจะสู้สาวญี่ปุ่นไม่ได้ แต่การดูแลรักษาผิวหน้าให้สุขภาพดีนั้นสาวญี่ปุ่นเธอถูกปลูกฝังมาโดยตลอด  รวมถึงขั้นตอนการดูแลผิวหน้า ทำความสะอาดในแต่ละวันเธอเหล่านั้นจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยนานถึง 10 นาทีต่อวัน
มาเริ่มต้นดูผลิตภัณฑ์ที่บรรดาสาวแดนปลาดิบขาดไม่ได้เลยคือ Eye&Lips make up removal , Facial Foam,Cleaning,Whip wash net,Toner/Aqua lotion ,Serum/Essence/Milky lotion/Cream/Emulsion โดยแต่ละอย่างต้องมีขั้นตอนและรายละเอียดในการทำความสะอาดผิว 3 ขั้นตอนดังนี้
- Cleaning  ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอาง ที่สาวๆ ประโคมลงบนใบหน้าทุกเช้า  การทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าอาจจะไม่เพียงพอ  โดยเฉพาะบริเวณที่ลบเลือนได้ยาก เช่น รอบดวงตา ปาก  ควรใช้ Eye & Lip make up removal  เช็ดโดยทาลงบนสำลี แปะตามจุดต่างๆ ทิ้งไว้ 5 วินาที แล้วค่อยปาดออก ห้ามใช้วิธีการถูแรงๆ เด็ดขาด เพราะจะทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้  หลังจากนั้นล้างเครื่องสำอางที่เหลือด้วย Cleaning oil บีบใส่มือ แล้วนวดให้ทั่วใบหน้า หรือหากเป็นครีมน้ำนมให้เทลงบนสำลีแล้วเช็ด ล้างด้วยน้ำอุ่นเบาๆ จากนั้นล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า นวดถูให้ทั่วใบหน้า 3-4 นาที ช่วยนวดหน้าไปในตัว (เคล็ดลับของสาวญี่ปุ่น นิยมใช้ตาข่ายตีโฟม  เพราะไม่ต้องการให้หน้าสัมผัสกับมือ เพราะมืออาจจะไม่สะอาด หรือหากลงน้ำหนักแรงเกินไปก็อาจจะเกิดริ้วรอยได้ง่าย ) จากนั้นล้างออกแล้วซับหน้าให้แห้ง
-  Hydration  เป็นวิธีการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้า  ด้วย Toner / Aqua lotion เทลงบนฝ่ามือแล้วตบเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า  หรือถ้ามีเวลาก็สามารถทำมาสก์ได้  โดยน้ำ Toner แช่เย็นเทใส่ทิชชูหรือกระดาษคอลลาเจน แล้วแปะให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 3 นาที เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวหน้าได้อย่างดี  จากนั้นลง Toner ที่แช่เย็น มาเทใสลงทิชชูหรือ กระดาษคอลลาเจน ที่ตัดตามรูปหน้า แล้ว แปะลงบนใบหน้าทิ้งไว้ 3 นาที จะเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้มาก Serum /Essence ซึ่งเป็นอาหารผิวในปริมาณที่เข้มข้นสูง ช่วยลดปัญหาจุด กระ ฝ้า รูขุมขนกว้าง ทิ้งเอาไว้ 2 นาที แล้วทาครีมบำรุง สำหรับผู้ที่มีปัญหา ฝ้า ริ้วรอย ในช่วงเช้าอาจจะทาครีมเซรั่มสำหรับแก้ปัญหาริ้วรอยพร้อมกันแดด และในช่วงกลางคืน ทาซีรั่มแก้ปัญหาฝ้า พร้อมครีมบำรุงผิวในปริมาณที่เหมาะสม  เพราะการทาเยอะเกินก็อาจจะส่งผลให้เกิดปัญญหาหน้ามัน ก่อให้เกิดสิวได้
- Moisture เติมน้ำมันให้แก่ผิว หลังจากที่เราล้างหน้า อาจจะทำให้เสียความชุ่มชื้นออกไปตามธรรมชาติ ทำให้หน้าแห้ง เราจึงควรเติมสิ่งที่สูญเสียกลับคืนสู่ผิวหน้า สำหรับคนผิวมันหรือเป็นสิวง่ายก็ควรใช้แต่น้อย เพื่อไม้ให้เกิดความมันไปมากกว่าเดิม หลังจากนั้นบำรุงด้วย Eye Cream บำรุงรอบดวงตา  ซึ่งเป็นผิวที่มีความอ่อนโยน จึงจำเป็นต้องใช้ครีมที่เหมาะสมเฉพาะส่วนเพื่อลดรอยด่างดำ เหี่ยวย่น
สิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้ผิวหลีกเลี่ยงจากแสงแดดที่เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหาผิวนั้น คือการทาครีมกันแดดให้ติดเป็นนิสัย  รวมถึงการดูแลอาหารการกินให้ถูกต้องเช่น อาหารที่มีวิตามิน เอ ซี อี ซึ่งมีสารอาหารที่บำรุงผิวได้ดี
… เท่านี้สาวๆ ไทยก็มีสุขภาพผิวที่ดีตามแบบสาวญี่ปุ่นได้ง่ายๆ..

วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


บอกสาว ๆ กินอย่างไร ให้สุขภาพดี


อาหารเพื่อสุขภาพ

บอกลาตัวเรา ในวันวาน กินอย่างไร ให้สุขภาพดี (แม่บ้าน)
เรื่อง : ควินน์

          เคยสงสัยตัวเองไหมว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของตัวเองควรจะมีการแก้ไขไหม เป็นพฤติกรรมที่ควรจะทำหรือเปล่า ปัจจุบันคนไทย เรามีนิสัยการบริโภคที่ไม่ถูกเท่าที่ควรนัก ทั้งที่มีกระแสรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่กลับมีวิธีการกินที่ผิด ๆ เข้ามาแทนที่เสียนี่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาสู่วิธีการกินที่ถูกต้องก็ในเมื่อชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว เราก็ควรจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเรา

พฤติกรรมและวินัยการบริโภคผิด ๆ

          ถ้าให้พูดถึงวิธีการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง สามารถกล่าวถึงได้หลายอย่าง บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวและไม่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะบางอย่างเป็นสิ่งที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

           การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กกลับเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เพราะจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น เหมือนเราใช้งานร่างกายหนักขึ้น วันหรือสองวันอาจจะไม่มีผลอะไรแต่อย่าลืมว่าเราต้องกินข้าวและเคี้ยวอาหารตลอดชีวิตของเรา

           ติดนิสัยกินอาหารจุบจิบ เป็นอุปนิสัยการกินที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะการหยิบของใกล้มือมากินตลอดเวลา โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวและของทอด โดยไม่คำนึงถึงไขมันและแคลอรีส่วนเกิน

           ไม่กินอาหารเช้า จากชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบวิ่งตามเวลา บางครั้งการเตรียมอาหารเช้าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก็จะทำให้หงุดหงิดง่ายความจำไม่ดี ความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่ว่องไว

           เลือกรับประทาน อุปนิสัยการรับประทานของผู้คนสมัยนี้จะแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบและพึงพอใจ กินอาหารปรุงแต่งรสชาติ ไม่กินผักผลไม้ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางอย่างที่จำเป็นกับร่างกาย ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่ากินตามใจปาก

           กินอาหารไม่เป็นเวลา หากเป็นเมื่อก่อนการกินอาหารไม่เป็นเวลาอาจจะมีของแถมมาเป็นโรคกระเพาะอาหารเพียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีโรคกรดไหลย้อนเข้ามาให้ระแวงเพิ่มอีก กลายเป็น 2 โรคยอดฮิตในหมู่หนุ่มสาวสมัยนี้ไปเสียแล้ว

          สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุปนิสัยการรับประทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถให้ผลกระทบในด้านสุขภาพและร่างกายของเราได้ในระยะยาว ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไข

อาหารเพื่อสุขภาพ


เปลี่ยนการกินอย่างไรให้สุขภาพดี

          บางครั้งการพยายามกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย เพราะข้อห้ามทั้งหลายที่กินนั่นไม่ได้กินนี่ไม่ดี ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเรามันดูยากขึ้น จนเราเลิกล้มความตั้งใจไปก่อนที่จะได้ทำจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินง่าย ๆ ก็ช่วยเราให้สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องซื้อหา

           เริ่มวันใหม่ด้วยอาหารเช้า หากคุณไม่มีเวลาพอที่จะกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ ลองมองหาอาหารที่สามารถหยิบมากินได้ง่าย ๆ อย่างโยเกิร์ตกับกล้วยน้ำว้าสุก ซึ่งกล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 บี 6 นอกจากจะได้ประโยชน์แล้วยังไม่อ้วนด้วย อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร การดูดซึม และระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กินอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลง

           เปลี่ยนของจุบจิบจำพวกขนมขบเคี้ยวเป็นของที่มีประโยชน์ การห้ามกินของจุบจิบในระหว่างมื้อกลางวัน หรือการกินของว่าง ก่อนนอน หรือช่วงระหว่างดูละครเป็นไปได้ยาก เพราะนับได้ว่าเป็นอุปนิสัยที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว เราก็แทนที่ของเหล่านั้นด้วยผลไม้ที่มีกากใยสูง และมีวิตามินแทนดีกว่า เพราะผลการวิจัยเขาบอกไว้ว่าการกินหลายมื้อไม่ได้ทำให้อ้วน แต่เราจะอ้วนจากการที่ใน 1 วัน เรากินอาหารที่ไม่จำกัดแคลอรี กินเกินกว่าความสามารถในการเผาผลาญของร่างกาย

           หันมากินมังสวิรัติบ้าง ตอนนี้กระแสการกินอาหารมังสวิรัติในวันเกิดของตัวเองกำลังเป็นที่นิยม โดยมีจุดเริ่มต้นจากความคิดในการทำบุญ ใน 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือน เราอาจจะเลือก 1 วันที่เราจะกินอาหารมังสวิรัติขึ้นมาและตั้งใจทำให้ได้ การกินมังสวิรัติก็เหมือนกับการดีท็อกซ์ร่างกาย แถมยังได้ความสุขทางใจ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น

           เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ทุกวันนี้เราคงไม่ได้สังเกตตัวเองว่าในการกินอาหาร 1 มื้อ เราใช้เวลารวดเร็วมาก ๆ แทนที่จะได้ดื่มต่ำกับรสชาติอาหาร กลับรีบเคี้ยวกลืน และกินให้ไว้ไว้ก่อน ซึ่งถ้าเราลองเปลี่ยนมาเคี้ยวอาหารให้ช้าลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้นจะช่วยทำให้อาหารดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย กระเพาะไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายอีกด้วย

           พยายามกินอาหารให้ได้ทุกหมวดหมู่ เราอาจจะไม่ชอบกินอาหารบางชนิด อย่างบางคนที่ไม่ชอบรสชาติของอาหารบางอย่าง เราไม่ต้องถึงขนาดอดทนกล้ำกลืนกินเข้าไป แต่ให้ไปหาอาหารชนิดอื่นที่มีคุณค่าใกล้เคียงกันมากันมากินก็ได้ เพราะแทนที่จะฝืนทนกินให้จิตใจเครียดและปฏิเสธ แทนที่สุขภาพจะดีขึ้นแต่กลับจะแย่ลงเสียมากกว่า

           ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง หากไม่มีเวลาดื่มระหว่างวัน แนะนำให้ลองดื่มน้ำเปล่าตอนตื่นนอนวันละ 1-2 แก้ว และก่อนนอนอีก 1-2 แก้ว ก็ได้เพราะตอนเช้าระดับความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายเราจะรู้สึกว่าขาดน้ำ ก่อนนอนก็ควรจะดื่มสัก 1-2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร

           เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักการออกกำลังกาย ทั้งนี้แม้คุณจะกินอาหารที่ดีเพียงใด แต่การออกกำลังกายก็ยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยชะลอการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราไม่จำเป็นจะต้องออกไปวิ่ง หรือเข้ายิมทุกวัน แต่ใช้เวลาว่างระหว่างวันเพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถออกกำลังกายง่าย ๆ ได้ หรือใช้บันไดในการขึ้นลงระหว่างชั้นให้มากขึ้นก็ได้

          การตั้งมั่นตั้งใจทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องดี อย่างการที่อยากจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หากทำโดยตั้งอยู่ในพื้นฐานของความเคร่งเครียดในการผลักคันตัวเองมากเกินไป จะทำรู้สึกไม่มีความสุข ความพยายามจะไม่เป็นผล ดังนั้นการจะเปลี่ยนตัวเองนั้น หากค่อย ๆ เปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำจนเป็นกิจวัตรนิสัย เชื่อแน่ว่าสุขภาพดี จิตใจสงบ ความรู้สึกดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราแน่นอน

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555



เคล็ดลับ ลดน้ำหนัก ด้วยน้ำเปล่า
เคล็ดลับ ลดน้ำหนัก.
…..สาวๆ หลายคน มักใส่ใจในเรื่องของสุขภาพร่างกายมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับสาวๆ บางคน อาจจะไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเองสักเท่าไหร่ อยากลดน้ำหนักส่วนเกินออก แต่ดันไม่มีเวลา มาลองดูกันกับเคล็ดลับง่ายๆ แบบนี้ดูสิคะ รับรองว่า เวิร์คชัวร์ค๊า…
…..เคล็ดลับการลดน้ำหนัก ที่ว่านี้ ก็คือการเลือกดื่มน้ำเปล่า แทนการอดอาหารนั่นเองค่ะ น้ำเปล่า เป็นตัวเลือกที่ดีและเหมาะสม อีกหนึ่งตัวเลือกเลยนะคะ ที่คุณสาวๆ สามารถใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักในแต่ละวันได้ การลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำนั้น ก็มีเคล็ดลับแบบง่ายๆ โดยให้คุณสาวๆ ดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว ก่อนการทานอาหารครึ่งชั่วโมง ในทุกๆ มื้ออาหาร จะส่งผลทำให้คุณสาวๆ มีความอยากในการทานอาหารลดน้อยลง
…..แถมยังมีผลการวิจัย (Institute for Public Health and Water Research และ Virginia Tech University ประเทศสหรัฐอเมริกา) ระบุว่า น้ำเปล่านั้น สามารถเข้าไปช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญไขมัน และน้ำตาลในร่างกายได้
…..ศาสตราจารย์ ดร. บาร์รี ป็อปคิน ผู้อำนวยการศูนย์ UNC Interdisciplinary Obesity Center (IDOC) ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา แสดงทัศนะว่า การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณเหมาะสมช่วยลดน้ำหนัก เพราะเหตุผลสองประการ คือ ประการที่หนึ่ง “น้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วย ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินสะสม
…..ประการที่สอง “เมื่อดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ทำให้ลดโอกาสดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น
…..นอกจากนี้ คุณสาวๆ จะต้องหลีกเลี่ยง การดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ น้ำหวานต่างๆ ไม่ว่าคุณสาวๆ จะอยากทานมากแค่ไหน ก็ต้องหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะเครื่องดื่มเหล่านั้น เป็นตัวเพิ่มระดับน้ำตาลให้กับร่างกายได้สูงมากขึ้น แถมยังยากต่อการเผาผลาญอีกด้วยนะคะ
…..อ๊ะๆ คุณสาวๆ อย่าเพิ่งรีบร้อน จนหาทางออกของการลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวนะคะ นอกจากการดื่มน้ำเปล่าแล้ว คุณสาวๆ จะต้องเลือกอาหารที่พอเหมาะ และมีประโยชน์กับร่างกายด้วย ที่สำคัญ คุณสาวๆ จะต้องไม่ลืมที่จะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยนะคะ จะได้สวย ใส น่ารัก มีสุขภาพดี สมบูรณ์แบบได้ค่ะ
ขอบคุณเนื้อหาจาก นิตยสาร ชีวจิต


ไข่ต้ม สารพัดประโยชน์เพื่อสุขภาพ


ไข่ต้ม สารพัดประโยชน์เพื่อสุขภาพ
ไข่ต้ม.
…..อาหารมื้อเช้า คุณสาวๆ เลือกทานอะไรกันเอ่ย…? แซนวิส โอวัลติน ไข่ดาว หรือจะเป็นซีเรียลดีน๊า…!! ถ้าคิดไม่ออก ลองเมนูบ้านๆ แบบที่คุณสาวๆ ไม่ค่อยนึกถึงกันดูบ้างสิคะ กับนี่เลยค่ะ ไข่ต้ม อาหารเช้า แบบธรรมดาๆ แต่คุณภาพล้นจาน
…..ไข่ต้ม เมนูอาหารที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึง แต่ทราบกันมั้ยคะว่า ประโยชน์ของไข่ต้มนั้น มีมากกว่าที่คุณเห็น นอกจากจะให้โปรตีนสูงแล้ว ไข่ต้ม ฟองน้อยๆ ที่คุณเห็นนั้น ยังเปรี่ยมไปด้วย กรดอะมิโน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก
…..แน่นอนค่ะ มีผลการวิจัยออกมาแล้ว จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ในไข่ขาวจะมีโปรตีนสูง และเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง คือมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย (Essential Amino Acid) ส่วนในไข่แดงนั้น ก็ยังมีสารอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุ ซึ่งมีคุณค่าเช่นเดียวกับไขมันในปลาแซลมอลและปลาทะเล
…..อ๊ะๆ ยังค่ะยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ เพราะในไข่ต้มนั้น ยังมี ไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหรือเอชดีแอล (HDL Cholesterol) ซึ่งเป็นไขมันชนิดดี ไม่มีผลต่อการเพิ่มคลอเลสเตอรอล ซึ่งส่งผลดีต่อร่างกาย ถ้าหากว่า คุณเลือกทานไข่ต้มเป็นประจำวันละ 1 ฟอง ก็จะสามารถช่วยป้องกันคุณ ให้ห่างไกลจาก โรคหัวใจ ได้อย่างแน่นอนค่ะ โดยไข่ต้ม 1 ฟอง จะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม ซึ่งจะให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี่ คุณประโยชน์ ของ ไข่ต้ม ยังไม่หมดแค่นั้นนะคะ เพราะมีความเชื่อกันว่า ไข่ต้ม สามารถให้ประโยชน์ได้มาก เท่ากับการที่คุณสาวๆ ทานรังนก 10 กระปุกเลยล่ะค่ะ
…..โอ๊ะโอ…! รู้แบบนี้แล้ว คุณสาวๆ น่าจะลองดูกันกับ “ไข่ต้ม” เมนูนี้นะคะ ทางเลือกที่ได้ประโยชน์สูง แถมไม่เปลืองเวลาอีกด้วยล่ะค่ะ
เรียบเรียงโดย women.mthai

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มาร์หน้า




 
      
01 วิธีมาร์คหน้า สูตร แตงกวาขั้นตอนการทำ ปอกเปลือกแตงกวาลูกเล็ก ๆ หนึ่งลูก เอาใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเนียนนุ่ม กรองเอาแต่น้ำเก็บเอาไว้ จากนั้น เอาน้ำชาเขียวและชาคาโมมายล์อย่างละสองออนซ์กับเจลาตินหนึ่งห่อ ตั้งไฟอ่อนๆ จนเจลาตินละลาย เติมน้ำแตงกวาลงไป คนให้ส่วนผสมเข้ากันดี แล้วเทใส่ภาชนะแก้วเก็บไว้ในตู้เย็นราว 25 นาที จนเริ่มเป็นส่วนผสมข้นๆ นำเอาส่วนผสมนี้มาทาให้ทั่วหน้า ปล่อยให้แห้ง 20 นาที ลอกมาสก์ออก แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ซับให้แห้ง แตงกวามีคุณสมบัติเป็นแอสตริงเจนต์อ่อน ๆ ที่ทำให้ผิวเย็นลง จึงดีเป็นพิเศษกับผิวอักเสบ เป็นผื่นแดง หรือไหม้แดด 
02 วิธีมาร์คหน้า สูตร มะเขือเทศขั้นตอนการทำ เริ่มด้วยการฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซี และกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาด 
03 วิธีมาร์คหน้า สูตร ไข่ขาวขั้นตอนการทำ ตอกไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่ม จุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 
04 วิธีมาร์คหน้า สูตร น้ำผึ้งขั้นตอนการทำ เริ่มจากล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดให้แห้ง จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบาๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 6 นาที จนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วก็ค่อยๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาด 
05 วิธีมาร์คหน้า สูตร แอปเปิลขั้นตอนการทำ ปอกแอปเปิลแล้วคว้านเอาไส้และเมล็ดออก จากนั้นบดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 25 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆ ล้างออก 
06 วิธีมาร์คหน้า สูตร นมเปรี้ยวขั้นตอนการทำ สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีหรือนานกว่านั้น แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก ตำรานี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน เพราะจะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ 
07 วิธีมาร์คหน้า สูตร แตงโม
ขั้นตอนทำ จัดการฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
08 วิธีมาร์คหน้า สูตร น้ำมะนาว ผสม น้ำผึ้ง
ขั้นตอนทำ ด้วยการผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น 
09 สูตรลดสิว ด้วยมะเขือเทศ
   1. ปอกเปลือกมะเขือเทศ ฝานเป็นแผ่นๆ เอาเมล็ดออก
   2. นำไปปั่นให้ละเอียด (ถ้าไม่มีเครื่องปั่น จะใช้วิธีขยำจนกระทั่งเนื้อมะเขือเทศเละ ไม่จับเป็นก้อน ก็ใช้ได้เหมือนกัน)
   3. ทาลงบนหัวสิว (ระวังอย่าให้เข้าตา) ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
         TiPS - ในกรณีที่คุณเป็นคนที่ผิวแพ้ง่าย หรือยังไม่แน่ใจว่าจะแพ้หรือเปล่า ให้ลองเทสต์กับท้องแขนก่อน ถ้ามีอาการแสบผิดปกติ ให้ล้างออกทันทีและไม่ควรใช้กับผิวหน้า - กรด" ในมะเขือเทศ จะช่วยทำความสะอาดรูขุมขน และลดการเกิดสิว 
10 สูตรรักษาฝ้าด้วยมะขามเปียก
คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุกจึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้าวันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้นค่ะ 
11 สูตร Cleanser สำหรับทุกสภาพผิว
โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ )
นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอนแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้า ได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วยค่ะ
13 วิธี มาร์คหน้า ลดสิวเสี้ยน
ถั่วเขียวต้ม 2 ช้อนโต๊ะ
สตรอเบอร์รี่ผลโต 2 ผล (ผลเล็ก 4 ผล)
นมเปรี้ยว 1/2 ช้อนโต๊ะ
   1. ต้มถั่วเขียวให้สุกกำลังดี แล้วตักใส่ถ้วยใบเล็กๆ ไว้
   2. ใช้น้ำอุ่นๆ ล้างหน้าให้สะอาดด้วยสบู่หรือโฟมล้างหน้า เช็ดซับหน้าให้แห้งด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ใช้หมวกคลุมผมสำหรับอาบน้ำคลุมศีรษะไว้ หรือใช้ที่คาดผมเพื่อเก็บเส้นผมไม่ให้หล่นปรกใบหน้า
   3. ใช้ช้อน หรือส้อมบดๆ ยีๆ ถั่วเขียวต้มสุกและสตรอเบอร์รี่ให้ละเอียด นำทั้ง 2 มาผสมกัน ตีๆ ยีๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน เติมนมเปรี้ยวผสมลงไป 1 ช้อนชาครึ่ง หรือ 1/2 ช้อนโต๊ะ ถ้ามีเครื่องปั่นให้ปั่นถั่วเขียวต้ม และสตรอเบอร์รี่ และนมเปรี้ยวพร้อมๆ กัน แต่ไม่ต้องให้ละเอียดมากนัก
   4. นำส่วนผสมที่ได้มา ทาให้ทั่ว ผิวหน้า เว้นรอบๆ ริมฝีปากและรอบดวงตาไว้ พอกทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที และล้างทำความสะอาดหน้าด้วยน้ำอุ่นๆ กับสบู่หรือโฟมล้างหน้า
       TiPS สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ ริ้วรอยต่างๆ ที่เป็นรอยยับย่น มาร์คสูตรนี้ช่วยให้ใบหน้าขาวนวล เกลี้ยงเกลา ใสสะอาดอย่างน่าอัศจรรย์ หมั่นทำเป็นประจำทุกๆ วันกันนะคร๊า
14 สูตรมาร์คหน้าเพื่อผิวกระชับ
มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ และ น้ำอุ่น
   1. เทน้ำอุ่นช้าๆ ลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนให้เข้ากันจนข้น
   2. ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าบางเบาให้ทั่ว จากนั้นใช้พู่กันจุ่มมันฝรั่งข้นทาทั้งใบหน้าและลำคอ (ยกเว้นรอบดวงตาและลำคอด้านหลัง) 
   3. ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ใช้ผ้าอุ่นชื้นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัว(จนกว่ามันฝรั่งจะนิ่ม) แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น TiPS การมาส์กหน้าด้วยมันฝรั่งป่นจะช่วยกระชับรูขุมขน ทำให้เลือดไหลเวียนดีและทำให้ผิวกระชับเต่งตึง แต่จะทำให้ผิวแห้ง ดังนั้นจึงไม่ควรมาส์กหน้า ด้วยมันฝรั่งบ่อยเกินไป 
15 สูตรมาร์คหน้า ลอกสิว
ส่วนประกอบ
    1. ไข่ขาว    2. พิมเสน   3. สำลี ชนิดแผ่น
นำไข่ไก่เอาแต่ไข่ขาว ใส่ด้วย ใส่พิมเสนลงไปนิดหน่อยมันจะดับกลิ่นคาว แล้วทำให้หน้าเย็นๆ แต่อย่าใส่เยอะนะ (เดี๋ยวจะเย็นจนทนไม่ไหว อิอิ) คนให้เข้ากัน ลอกสำลีให้บางๆ จากนั้นก็เอาไข่ขาวที่เตรียมไว้ทาหน้ารอบนึง แปะทับด้วยสำลี เสร็จแล้วทาไข่ขาวทับสำลีให้ชุ่ม ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งสนิท แล้วลอกจากคางขึ้นมาแล้วล้างออก แล้วทีนี้สังเกตุที่สำลีที่ลอกออกมาดูดิ อืม...มันชั่งเยี่ยมไปเลย 



1 สูตรสำหรับดูแลผิวแห้ง
     น้ำมันมะกอก + เกลือ + ผลสตรอว์เบอรี่สด
    1. ผสมน้ำมันมะกอกกับเกลือ (ควรใช้เกลือเม็ดเล็กๆ หรือเม็ดที่ไม่คม ไม่หยาบจนเกินไปค่ะ เดี๋ยวมันจะบาดผิวเรา) เข้าด้วยกัน
    2. ใส่สตรอว์เบอรี่ที่ใช้ช้อนบี้ๆ บดๆ จนเละแล้วลงไป
    3. คนๆ ให้เข้ากัน ใช้เป็นสครับสำหรับขัดผิวกาย เพื่อให้ความชุ่มชื้น ทำให้ผิวสดใส และเต่งตึงขึ้นด้วยค่ะ 
2 สูตรดูแลผิว เพื่อ ผิวเนียนนุ่ม
     ว่านหางจรเข้ 2 ใบ(ใบใหญ่) + ใบชะพลู 10 ใบ + ไข่ไก่ 1 ฟอง
นำว่านหางจรเข้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำใบชะพลูที่ล้างสะอาดแล้ว มาหั่นหยาบๆ แล้วนำส่วนผสมทั้ง 2 อยางลงเครื่องปั่น ใส่ไข่ไก่ลงไป... ปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 8-15 นาที แล้วล้างออก ผิวหน้าก็จะเนียน ลื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

บิสกิต เค้ก ขนมปังนื่ม ของหวานนำโรคสู่สาวๆ


บิสกิต เค้ก ขนมปังนิ่ม ของหวานนำโรคสู่สาว ๆ


เค้ก

บิสกิต เค้ก ขนมปังนิ่ม ของหวานนำโรค (Woman Plus)

          คุณรู้หรือไม่ว่า...จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยในประเทศสวีเดน ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารของผู้หญิงหกหมื่นคน เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องระหว่างการกินน้ำตาลกับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเนื้องอกในมดลูก พบว่า บิสกิต เค้ก หรือขนมปังนิ่ม ซึ่งเป็นของโปรดของสาว ๆ หลายคนนั้น หากกินอย่างต่ำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ มีโอกาสเป็นมะเร็งมดลูกมากขึ้น 33%

          และสำหรับสาว ๆ ที่โปรดปรานขนมพวกนี้มาก ๆ ขนาดที่ว่าทานมากกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ก็มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับเนื้องอกมากขึ้นถึง 42% เลยทีเดียว เนื่องจากเมื่อร่างกายของเรามีระดับน้ำตาลที่สูงเกิน ร่ายกายก็จะผลิตอินซูลินเพิ่มขึ้น เพื่อให้ช่วยกำจัดน้ำตาลส่วนเกิน ส่งผลให้เซลล์ในช่องคลอดเจริญเติบโตผิดปกติ ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ ขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อว่า น้ำตาลจะกระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งส่งผลให้เซลล์เจริญเติบโตผิดปกติได้ด้วย

          ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า วิธีป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมน้ำหนักเป็นประจำ เพราะฉะนั้น สาว ๆ คนใดที่มีบิสกิต เค้ก หรือขนมปังนิ่มเป็นของโปรด ก็คงต้องลดปริมาณการกินและหมั่นออกกำลังกายด้วยนะคะ

ครั้งต่อไปที่คุณล้างยาทาเล็บออก ก็อย่าลืมดูสภาพเล็บของคุณด้วย เพราะสภาพเล็บบางอย่างก็บ่งบอกว่าคุณกำลังมีปัญหาด้านสุขภาพ
เล็บเหลือง : โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดจากการทาเล็บสีเข้มๆ โดยไม่ยอมทาน้ำยารองพื้นเล็บก่อน ซึ่งถ้าคุณหยุดทาเล็บซักสองสามวัน อาการเล็บเหลืองนั้นก็จะดูจางลงได้ แต่ถ้าผ่านไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ อาการเล็บเหลืองยังไม่หาย (รวมทั้งมีอาการบวมแดงร่วมด้วย) ก็อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรา ซึ่งคุณควรไปพบแพทย์โดยด่วน

เล็บลอก : เล็บของคนเราประกอบด้วยเคราตินที่ซ้อนทับกันหลายชั้น แต่เวลาที่โดนน้ำหรืออากาศเย็นๆ ผิวเล็บชั้นบนสุดก็จะเกิดอาการแยกตัวจนลอกออกมา ซึ่งโดยปกติการใช้ครีมทามือและยาทาเล็บ ก็จะช่วยตรึงผิวเล็บเอาไว้ได้ แต่ถ้ายังลอกอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายขาดกรดไลโนเลอิก คุณจึงควรใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันงาประกอบอาหารให้มากขึ้น

เล็บเขียวช้ำ : ถ้าอยู่ๆ เล็บของคุณดูเขียวช้ำโดยไม่ได้โดนอะไรกระแทก ก็ควรไปพบแพทย์ด่วน เพราะนั้นเป็นสัญณาณที่บ่งบอกว่าคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับการขับรถ


แนะผู้ขับรถเลือกรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเหมาะสม หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้า เนื่องจากจะทำให้เหยียบเบรกและคันเร่งไม่ถนัด รวมทั้งไม่จัดเก็บสิ่งของและรองเท้าไว้บริเวณใต้เบาะหรือเบาะหลังที่นั่งคนขับ เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ผู้ขับรถส่วนใหญ่มักมองข้ามการสวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมในขณะขับรถ รวมทั้งจัดเก็บรองเท้าและสิ่งของภายในรถไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม จึงเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีเลือกรองเท้าสำหรับใส่ขับรถ การจัดเก็บรองเท้า และสิ่งของภายในรถอย่างถูกวิธี ดังนี้
การเลือกรองเท้า ควรเลือกสวมรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา มีพื้นยางบริเวณส้นเท้า ใส่แล้วกระชับเท้า ส้นไม่สูงหรือหนาเกินไป หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้า เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรกและคันเร่งไม่ถนัด ไม่สวมรองเท้าแตะที่เปียกน้ำ หรือรองเท้าที่หมดอายุการใช้งาน เพราะพื้นรองเท้าจะลื่นกว่าปกติ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะทำให้เหยียบแป้นเบรกพลาด จนเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรง
การจัดเก็บรองเท้าและสิ่งของภายในรถ ไม่จัดเก็บสิ่งของและรองเท้าไว้บริเวณใต้เบาะหรือเบาะหลังที่นั่งคนขับ เพราะหากเบรกหรือหยุดรถกะทันหัน รองเท้าหรือสิ่งของอาจกลิ้งเข้าไปติดใต้แป้นแบรก ทำให้ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ควรวางรองเท้าหรือสิ่งของไว้ด้านหน้า ด้านหลังหรือบริเวณใต้เบาะที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร หรือกระโปรงด้านหลังรถจะปลอดภัยมากกว่า
การตรวจสอบรองเท้า แป้นเบรกและแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบรองเท้าที่ใช้สวมใส่ขณะขับรถ โดยลองเหยียบแป้นเบรกให้เต็มเท้าพร้อมสังเกตความกระชับของรองเท้าว่าสามารถเหยียบเบรกและคันเร่งได้อย่างคล่องตัวหรือไม่ หากลองสวมแล้วรู้สึกว่ารองเท้าไม่กระชับ เหยียบแป้นเบรกหรือคันเร่งไม่ถนัด ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการเหยียบคันเร่งและแป้นเบรกพลาดจนเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่นำไปสู่ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
สำหรับรถที่มีอายุการใช้งานมานาน ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบแผ่นยางคลุมแป้นเบรกและแป้นคันเร่ง เพราะยางที่หมดอายุ จะทำให้เท้าพลิกในขณะเหยียบแป้นเบรกหรือคันเร่ง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
สุดท้ายนี้ ผู้ขับรถควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถ เลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสมกับการขับรถ จัดเก็บสิ่งของภายในรถให้ถูกวิธี รวมทั้งตรวจสอบความปลอดภัยของสภาพรถยนต์ เช่น ระบบเครื่องยนต์ ระบบเบรก ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ปลอดภัย และพร้อมสำหรับการใช้งาน จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง


วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายให้ดีต้องเหงื่อออกหรือไม่


การออกกำลังกายนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ แต่ทำให้หลายๆคนคิดไปว่าออกกำลังจะดีได้นั้น ต้องออกเยอะและเหงื่อต้องออกเยอะด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดี ความคิดนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่

ความเชื่อแบบนี้ถือว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นภายในเซลล์จะเกิดได้เฉพาะการออกกำลังกายเท่านั้น แต่การที่ออกกำลังกายแล้วเหงื่อโชก เป็นเพราะว่าเมื่อร่างกายของเราถูกความร้อนมากระทบทำให้เกิดการหลั่งของเหงื่อ เพื่อเป็นการระบายความร้อนเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าพลังงานถูกใช้ไปมากมายตามปริมาณของเหงื่อ ดังนั้น การเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือว่าทำงานบ้าน เพียงแค่ออกแรงอย่างต่อเนื่อง 30 นาที และทำให้ได้ทุกวัน ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักๆและมีเหงื่ออกมากเสมอไป


ดังนั้นก็แสดงว่า ออกกำลังก็ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายวันละนิดวันละหน่อย ถึงแม้จะมีเหงื่อไม่มาก ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณแล้ว

หลากสรรพคุณของโยเกิต


ใครที่ชอบกินโยเกิร์ตต้องดีใจจนออกนอกหน้า เพราะวันนี้เรามีประโยชน์ดีๆ จากโยเกิร์ตมาฝากกันคะ

- คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
- ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
- ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station

ประโยชน์ของแก้วมังกร


แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แคลอรี่ต่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียมและแคลเซียม แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง เมล็ดสีดำเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรจะอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น แก้วมังกรจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน
สรรพคุณของแก้วมังกรอีกอย่างหนึ่งคือใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม ใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่มและในผลแก้วมังกรก็มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำจึงนิยมใช้บริโภคเพื่อลดน้ำหนัก


แก้วมังกรเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชรซึ่งมีสารที่มีประโยชน์คือมิวซิเลจ(Mucilage) ที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย ควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวาน(ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)ได้ แก้วมังกรยังมีประโยชน์ในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ผลแก้วมังกรยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก เบาหวาน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการหากรู้จักกินเป็นอาหารรักษาโรค(เภสัชโภชนา)แล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงาม(ผิวพรรณและการลดน้ำหนัก)อีกด้วย จนอาจพูดได้ว่า แก้วมังกรเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น มะละกอ ส้ม กล้วย ฯลฯ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือกรับประทาน "ผลไม้เพื่อสุขภาพ" ให้ถูกต้องย่อมเกิดผลดีกับร่างกายอย่างแน่นอน
แต่วิธีการกินผลไม้ที่ถูกต้องก็คล้ายกับการกินอาหารนั่นคือต้องกินให้หลากหลายจึงจะได้รับสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน การกินผลไม้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ไม่ใช่พอรู้ว่าแก้วมังกรมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพมากมายหลายประการแล้วก็พยายามหาและกินเฉพาะแก้วมังกรเท่านั้นผลไม้อื่นที่นอกเหนือจากแก้วมังกรแล้วไม่ยอมกินเลย ถ้าทำอย่างนี้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการกินผลไม้ที่ถูกต้องเรียกว่า "กินไม่เป็น" ดังนั้นให้เดินทางสายกลางคือกินแต่พอดีจะดีที่สุด
การปลูกแก้วมังกร
เนื่องจากแก้วมังกรเป็นพืชที่มีลำต้นอ่อนมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ดังนั้นวิธีการปลูกแก้วมังกรจึงต้องสร้างหลักให้ลำต้นของต้นแก้วมังกรเกาะยึด หลักที่ให้แก้วมังกรเกาะยึดจะเป็นเสาปูนหรือทำจากไม้เนื้อแข็งก็ได้โดยปักหลักให้สูงประมาณ 1.5 - 2.0 เมตร มีระยะห่างระหว่างหลักประมาณ 3 เมตร ด้านบนของหลักทำเป็นร้านให้กิ่งของแก้วมังกรแผ่ขยายออกไป รอบๆ หลักแต่ละหลักให้เตรียมหลุม 4 หลุมสำหรับปลูกกิ่งพันธุ์แก้วมังกรหลุมละ 1 ต้น ใช้ปุ๋ยหมักเก่ารองก้นหลุมประมาณหลุมละ 1 บุ้งกี๋ แล้วนำกิ่งพันธุ์แก้วมังกรมามัดให้แนบกับหลักแล้วทำบังแดดให้กิ่งพันธุ์แก้วมังกรประมาณ 1-2 อาทิตย์
วิธีการดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย รดน้ำให้ดินชื้นแต่อย่าให้แฉะแล้วใช้ฟาง เศษหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นของดินไว้ ใส่ปุ๋ยคอกหลักละ 1 บุ้งกี๋แล้วเสริมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หลักละ 1-2 ช้อนแกง การให้ปุ๋ยให้เว้นระยะ 2-3 เดือนต่อครั้งโดยดูจากความสมบูรณ์ของต้นแก้วมังกรเป็นสิ่งสำคัญ
ต้นแก้วมังกรที่ปลูกมาจากการใช้กิ่งปักชำหลังจากปลูกได้ประมาณ 8-10 เดือนก็จะเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต โดยปกติแล้วต้นแก้วมังกรจะให้ผลผลิต 4 รุ่นใน 1 ปี ผลแก้วมังกรที่เก็บมาจากต้นสามารถวางขายในตลาดได้หลายวัน หากใส่ผลแก้วมังกรในถุงพลาสติกแล้วแช่เย็นจะเก็บไว้ได้ไม่น้อยกว่า 15 วันแต่ต้องระวังเรื่องการเปียกน้ำและความชื้นที่อาจจะทำให้ผลแก้วมังกรเน่าเสียได้ง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thai-good-health.blogspot.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555


ออยล์พูลลิ่ง oil pulling นวดบำบัดผ่านช่องปาก

oil pulling therapy


          ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy) เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี พ.ศ. 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน

          ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆ ด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด

          Dr.Bruce Fife N.D.นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่มรวมทั้ง Coconut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พูลลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr. Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พูลลิ่งเป็นการรักษาของแพทย์ทางเลือก ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr.Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้ เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พูลลิ่งของ Dr. Karach อย่างจริงจัง รวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อยๆ ชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr. Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้

ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย

          ในปากของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทาน กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม

 โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก

          อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิด รวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆ ล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรืออาหารที่มีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่ และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ
oil pulling therapy



ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร?

          ออยล์พูลลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการรักษาทางธรรมชาติด้วยเช่นกัน สำหรับหลายๆ คนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆ ปาก ไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พูลลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู

          ออยล์พูลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง

          เมื่อคุณใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน

          เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย

          เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด


 น้ำมันชนิดใดเหมาะจะใช้ทำออยล์พูลลิ่ง?

          ตามตำราโบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวันหรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr. Fife กล่าวว่า น้ำมันชนิดใดก็สามารถใช้ทำออยล์พูลลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากต้องการใช้น้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดใดๆ กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเมื่อถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมโนกลีเซอไรด์ชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค เหตุผลอีกประการหนึ่ง น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ได้รับการผลิตอย่างมีคุณภาพจะ มีความสะอาดถูกอนามัย แถมยังมีกลิ่นและรสชาติน่าพอใจอีกด้วย

วิธีการทำออยล์พูลลิ่ง

           ทำขณะที่ท้องว่าง จะดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
           ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา อมไว้ในปาก
           ค่อยๆ ดูด ดัน และดึง ให้น้ำมันไหลผ่านฟันและเหงือก
           น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือมีสีเหลือง
           เคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆ ปากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 15-20 นาที จากนั้นให้บ้วนน้ำมันทิ้งไป
           บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการดื่มน้ำ
           ทำอย่างนี้วันละครั้งเป็นอย่างน้อย

 โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง

          ผลของการทำออยล์พูลลิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้นไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพูแลดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าออยล์พูลลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิด ต่อไปเป็นชื่อของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่มีผู้รายงานเข้ามาว่ามีการตอบสนองที่ดีกับออยล์พูลลิ่ง: สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ   เรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ   ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน

          ส่วนอาการหรือโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พูลลิ่งได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ( ARDS)ถุงลมโป่งพอง การอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง   ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่นๆ อีกหลายชนิด

 ช่วงเวลาที่เหมาะจะทำออยล์พูลลิ่ง
oil pulling therapy


          จากกราฟแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานทำให้แบคทีเรียบางส่วนผสมกับอาหารและน้ำลายในที่สุดถูกกลืนลงไป ปริมาณแบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มาก เนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก ก่อนอาหารกลางวันปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตอนก่อนอาหารเช้า และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับแบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน การทำออยล์พูลลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด

  
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อัจฉรา น้อยคำมูล

จับตาเทรนด์อาหารสุขภาพปี 2555
คุณชนิกา จรจำรัส ทวิทิพอาภา นักกำหนดอาหาร สมาคมนักกำหนดอาหาร กล่าวว่า สำหรับ ปี 2555 ช่วงนี้เทรนด์สมุนไพรกับสุขภาพต่างๆมีค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่เรื่องขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม หอม สามารถทานได้ทุกฤดู ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศบ้านเราด้วย เพราะว่าตอนนี้แปรปรวนเหลือเกิน อากาศเย็นๆแบบนี้ น้ำขิงก็ช่วยได้นะคะ ขับลมอะไรต่างๆด้วย นอกจากสมุนไพรแล้ว ในเรื่องของอาหารชะลอชรา หรือ Entry Aging ก็มาแรงแซงโค้งเลยนะคะ ยิ่งกว่า Fast Food เสียอีก รวมไปถึงคอลลาเจนด้วย ที่มีเยอะตามท้องตลาด
ในเรื่องของอาหารต้านชรา พวก Entry Aging ทั้งหลาย เริ่มแรกก็คงต้องมาจากอาหารการกินก่อน เดี๋ยวนี้ค่อนข้างมาเป็นซองๆซะเยอะ อย่างคนนี้แนะนำให้ทาน มาละ 10 เม็ด คนนี้แนะนำว่าดีมากเลย ให้มากอีก โดยที่ไม่ได้ศึกษาร่างกายของตัวเองเลยว่าต้องการอะไร ร่างกายตัวเองมีอะไรที่พร่องไปหรือมันดีอยู่แล้ว สมดุลอยู่แล้ว หรือบางตัวมันเกิน อย่างคนไข้ของดิฉันบางคน ทานเยอะมาก ทานโดยที่ไม่ได้ตรวจเลือด ตรวจสภาวะร่างกายก่อน แต่จริงๆแล้วถ้าเราได้มีการตรวจสภาพร่างกายก่อน มีการตรวจเลือด อาจจะดูสภาวะเม็ดเลือดเป็นอย่างไรบ้าง มีไขมันมาเกาะไหม ตัวไหนเกิน อะไรแบบนี้ หรือควรได้วิตามินบางตัว อะไรบ้าง อันนั้นจะมีประโยชน์กับเรามากกว่า จริงๆแล้วนอกจากเรื่องของเทรนด์อาหาร วิธีการดูแลแบบ Entry Aging ที่เฉพาะบุคคลมันก็จะมาด้วยสำหรับเทรนด์นี้จะมาแรงเลย คือ การตรวจสภาวะ การตรวจเลือดก่อน ตรวจความผิดปกติของร่างกาย โดยใช้เครื่องชนิดพิเศษ ปัจจุบันสำหรับที่อเมริกาเขาก็เริ่มใช้กันแล้ว ในบ้านเราก็เริ่มมีแล้ว ก่อนที่จะรับประทานอะไร ปกติหลายคนลบอกว่า วิตามิน ซี ดี อี ทุกคนตื่นมาจะต้องกิน ซ กิน เอ กิน อี อะไรก็ตาม แต่คราวนี้ เราจะต้องไปตรวจร่างกายก่อนว่าร่างกายขาดอะไร แล้วหมอก็จะให้วิตามินหรืออาหารเสริมที่เหมาะกับคุณ บางคนบอกว่าอันนี้ฉันจัดมาเพื่อเธอแล้ว แต่ความจริงเลือดยังไม่ได้ตรวจเลย ยังไม่ได้นั่งคุยกันเลยว่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเราเป็นอย่างไรบ้าง ปัจจุบันจะเป็นทางด้านการค้ามากกว่า
โดยองค์ความรู้ทางด้านอาหารต้านชราหรือชะลอวัยนี้เป็นศาสตร์ที่ดีมากเลย เราจะทำอย่างไรให้คนทุกคนเข้าถึงบริการนี้ได้อย่างง่ายๆ ไม่ใช่คนมีเงินเท่านั้นที่จะได้รับบริการแบบนี้ ดิฉันอยากให้บริการที่ดีๆเหล่านี้เข้าถึงทุกคนเลย จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง Entry Aging หรืออายุยืนยาวไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องของริ้วรอย แต่รวมไปถึงร่างกายข้างในด้วย สำหรับคนไข้บางคนปวดศีรษะ ไปรักษามาหลายหมอแล้ว เปลี่ยนยาเป็นแผนปัจจุบันก็แล้ว อะไรก็แล้ว แต่ก็ไม่หาย เราก็ต้องดูว่าปวดศีรษะเกิดจากอะไร หลังจากซักประวัติแล้ว นอนเพียงพอไหม อะไรต่างๆ มีเรื่องเครียดหรือเปล่า อาหารก็มีส่วนสำคัญด้วยเหมือนกัน แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เราจะต้องตรวจเลือดก่อน อย่างเช่น เราจะต้องตรวจสารสื่อประสาท แค่การตรวจปัสสาวะเอง ง่ายๆ ตรวจสารสื่อประสาทในปัสสาวะ เป็นต้น เราก็จะทราบแล้วว่าคนนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง ก่อนที่จะให้คำแนะนำในเรื่องของอาหารการกินว่า ควรจะทานอันนี้นะ ควรหลีกเลี่ยงอันนี้
สำหรับผักพื้นบ้านก็มีคนทำวิจัยกันเยอะว่าเราต้องหันมารณรงค์ทานผักบ้านเรา กันเยอะมากขึ้นไหม ถ้าพูดถึงผักพื้นบ้านบ้านเรานี้มีวิตามิน คุณค่าทางสารอาหาร อะไรพวกนี้ก็ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมะรุม ที่ยังมาแรงอยู่ เรื่องของสะเดาต่างๆ ยอดสะเดา กระถิ่น หรือว่าผักแพว ขี้เหล็ก ได้ทั้งยอดขี้เหล็ก ใบขี้เหล็ก ดอกขี้เหล็ก สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง คนเมืองอิจฉานะ เพราะคนที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเขามีผักสดกิน ส่วนคนในเมืองจะรู้จักแต่ผักเศรษฐกิจกันซะส่วนใหญ่
อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังฮิตก็คือ อาหารพวกปรุงน้อย พวกรสธรรมชาติ หรือ Low Food ไม่ใช่อาหารดิบ กินปลาดิบ หรือผักดิบ แต่เป็นอาหารที่ปรุงน้อย เครื่องปรุงน้อย เรียกง่ายๆคืออาหารที่ผ่านความร้อนน้อยที่สุด วิตามินหรือคุณค่าทางอาหารจะได้ไม่สูญหายตามหลักโภชนาการ

ในแง่ของการดูแลสุขภาพ อย่าง Entry Aging ให้เซลล์ของตัวเองดี ให้ในร่างกายของตัวเองดี ไม่ต้องทานอาหารเสริมเยอะๆ แต่กินอาหารรอบตัว ดูแลดี คุณชนิกา จรจำรัส ทวิทิพอาภา ได้ฝากไว้ว่า จริงๆแล้วอาหารที่จะชะลอชราเลยต้องเริ่มมาจากพื้นฐานร่างกายที่ดีก่อน อาหารเราต้องทานให้ครบหมวดก่อน อันดับแรกเลยและสำคัญที่สุด ครบ 5 หมู่เลย จานสุขภาพของเรา


อันที่สองคือในเรื่องของน้ำดื่ม เรื่องของการจัดการน้ำในร่างกายของเรา คือ ตั้งแต่ตื่นนอนเลย ยังไม่ต้องทำอะไร ตื่นนอนแล้วดื่มน้ำทันที ย้ำว่าต้องเป็นน้ำอุ่นด้วยถึงจะดี เริ่มแรกเลยตอนที่เราตื่นมา ถ้าเราดื่มน้ำแบบพรวดลงไปเลย จะทำให้เราระบายดี แต่ถ้าระหว่างวันใช้เป็นค่อยๆจิบก็ได้ ความจริงตอนเช้าร่างกายของเราต้องการน้ำมาก เพราะถ้าลองนึกดู ตั้งแต่เรานอนจนถึงตื่นนอนร่างกายเราไม่ได้รับน้ำเลย เมื่อเราดื่มน้ำเสร็จร่างกายเราจะสดชื่นขึ้นมาทันที ในเรื่องของอาหาร จะต้องครบทั้ง 5 หมู่ ในเรื่องของน้ำก็สำคัญ ถ้าอยากจะมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้าง ซึ่งเราก็ห้ามคนไข้ไม่ได้จริงๆ เพราะทุกคนก็ทาน แต่เราอยากให้ตรวจสภาพร่างกายกันก่อน

และที่สำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของจิตใจ การออกกำลังกาย เป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับปลา ถือว่าเป็นอาหารชะลอวัยได้ เพราะปลาถือว่าเป็นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ในหมวดโปรตีนทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกทานปลาไว้ก่อน หมูเอาไว้ท้ายๆ เนื้อขาวกับเนื้อแดง ควรเลือกเนื้อขาวไว้ก่อน เน้นการชะลอชราได้