วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับการขับรถ


แนะผู้ขับรถเลือกรองเท้าที่มีน้ำหนักเบาและมีขนาดเหมาะสม หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้า เนื่องจากจะทำให้เหยียบเบรกและคันเร่งไม่ถนัด รวมทั้งไม่จัดเก็บสิ่งของและรองเท้าไว้บริเวณใต้เบาะหรือเบาะหลังที่นั่งคนขับ เพราะอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า ผู้ขับรถส่วนใหญ่มักมองข้ามการสวมใส่รองเท้าที่เหมาะสมในขณะขับรถ รวมทั้งจัดเก็บรองเท้าและสิ่งของภายในรถไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม จึงเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ขอแนะวิธีเลือกรองเท้าสำหรับใส่ขับรถ การจัดเก็บรองเท้า และสิ่งของภายในรถอย่างถูกวิธี ดังนี้
การเลือกรองเท้า ควรเลือกสวมรองเท้าที่มีน้ำหนักเบา มีพื้นยางบริเวณส้นเท้า ใส่แล้วกระชับเท้า ส้นไม่สูงหรือหนาเกินไป หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าที่มีขนาดใหญ่กว่าเท้า เพราะจะทำให้ผู้ขับขี่เหยียบเบรกและคันเร่งไม่ถนัด ไม่สวมรองเท้าแตะที่เปียกน้ำ หรือรองเท้าที่หมดอายุการใช้งาน เพราะพื้นรองเท้าจะลื่นกว่าปกติ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จะทำให้เหยียบแป้นเบรกพลาด จนเป็นต้นเหตุของการเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรง
การจัดเก็บรองเท้าและสิ่งของภายในรถ ไม่จัดเก็บสิ่งของและรองเท้าไว้บริเวณใต้เบาะหรือเบาะหลังที่นั่งคนขับ เพราะหากเบรกหรือหยุดรถกะทันหัน รองเท้าหรือสิ่งของอาจกลิ้งเข้าไปติดใต้แป้นแบรก ทำให้ไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ ควรวางรองเท้าหรือสิ่งของไว้ด้านหน้า ด้านหลังหรือบริเวณใต้เบาะที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร หรือกระโปรงด้านหลังรถจะปลอดภัยมากกว่า
การตรวจสอบรองเท้า แป้นเบรกและแป้นคันเร่ง ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบรองเท้าที่ใช้สวมใส่ขณะขับรถ โดยลองเหยียบแป้นเบรกให้เต็มเท้าพร้อมสังเกตความกระชับของรองเท้าว่าสามารถเหยียบเบรกและคันเร่งได้อย่างคล่องตัวหรือไม่ หากลองสวมแล้วรู้สึกว่ารองเท้าไม่กระชับ เหยียบแป้นเบรกหรือคันเร่งไม่ถนัด ควรเปลี่ยนรองเท้าคู่ใหม่ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการเหยียบคันเร่งและแป้นเบรกพลาดจนเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุที่นำไปสู่ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน
สำหรับรถที่มีอายุการใช้งานมานาน ผู้ขับขี่ควรหมั่นตรวจสอบแผ่นยางคลุมแป้นเบรกและแป้นคันเร่ง เพราะยางที่หมดอายุ จะทำให้เท้าพลิกในขณะเหยียบแป้นเบรกหรือคันเร่ง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
สุดท้ายนี้ ผู้ขับรถควรใช้ความระมัดระวังในการขับรถ เลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสมกับการขับรถ จัดเก็บสิ่งของภายในรถให้ถูกวิธี รวมทั้งตรวจสอบความปลอดภัยของสภาพรถยนต์ เช่น ระบบเครื่องยนต์ ระบบเบรก ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ปลอดภัย และพร้อมสำหรับการใช้งาน จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง


วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555

ออกกำลังกายให้ดีต้องเหงื่อออกหรือไม่


การออกกำลังกายนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ แต่ทำให้หลายๆคนคิดไปว่าออกกำลังจะดีได้นั้น ต้องออกเยอะและเหงื่อต้องออกเยอะด้วย ยิ่งเยอะยิ่งดี ความคิดนี้เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่

ความเชื่อแบบนี้ถือว่าเป็นความเชื่อที่ผิด เพราะการเผาผลาญพลังงานที่เกิดขึ้นภายในเซลล์จะเกิดได้เฉพาะการออกกำลังกายเท่านั้น แต่การที่ออกกำลังกายแล้วเหงื่อโชก เป็นเพราะว่าเมื่อร่างกายของเราถูกความร้อนมากระทบทำให้เกิดการหลั่งของเหงื่อ เพื่อเป็นการระบายความร้อนเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าพลังงานถูกใช้ไปมากมายตามปริมาณของเหงื่อ ดังนั้น การเคลื่อนไหวร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือว่าทำงานบ้าน เพียงแค่ออกแรงอย่างต่อเนื่อง 30 นาที และทำให้ได้ทุกวัน ก็จะถือว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำงานหนักๆและมีเหงื่ออกมากเสมอไป


ดังนั้นก็แสดงว่า ออกกำลังก็ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายวันละนิดวันละหน่อย ถึงแม้จะมีเหงื่อไม่มาก ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณแล้ว

หลากสรรพคุณของโยเกิต


ใครที่ชอบกินโยเกิร์ตต้องดีใจจนออกนอกหน้า เพราะวันนี้เรามีประโยชน์ดีๆ จากโยเกิร์ตมาฝากกันคะ

- คนที่ท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตเกิดมาเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียของคุณทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย
- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดก็เป็นตัวแม่สำหรับร่างกายทั้งนั้น อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 คนที่กินโยเกิร์ตเป็นประจำถึงได้อายุยืนแถมแข็งแรง
- ถึงแม้จะทำมาจากนม แต่โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ของเราย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตกลับทำได้ชิลๆ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้
- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ ชนิดดีที่ ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ
- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะทำให้เป็นสาวกระดูกเหล็ก ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้คุณผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย
- ทำให้ปากสะอาด กำราบกลิ่นปากและโรคเหงือก
- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น
ที่มา : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station

ประโยชน์ของแก้วมังกร


แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง แคลอรี่ต่ำอุดมไปด้วยวิตามินซี แมกนีเซียมและแคลเซียม แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง เมล็ดสีดำเล็กๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรจะอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น แก้วมังกรจึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน
สรรพคุณของแก้วมังกรอีกอย่างหนึ่งคือใช้เป็นผลไม้เสริมสุขภาพและความงาม ใช้บริโภคเพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนัก เนื่องจากเมื่อกินแก้วมังกรแล้วจะรู้สึกอิ่มและในผลแก้วมังกรก็มีกากใยสูงประกอบกับให้แคลอรี่ต่ำจึงนิยมใช้บริโภคเพื่อลดน้ำหนัก


แก้วมังกรเป็นพืชในตระกูลกระบองเพชรซึ่งมีสารที่มีประโยชน์คือมิวซิเลจ(Mucilage) ที่มีลักษณะคล้ายวุ้นเจลช่วยดูดซับน้ำในร่างกาย ควบคุมระดับกลูโคสในคนที่เป็นโรคเบาหวาน(ชนิดไม่พึ่งอินซูลิน)ได้ แก้วมังกรยังมีประโยชน์ในการบรรเทาโรคโลหิตจางช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ผลแก้วมังกรยังมีสรรพคุณในการป้องกันโรคหัวใจ มะเร็งลำไส้และต่อมลูกหมาก เบาหวาน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของกระดูกและฟัน
แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีทั้งสรรพคุณทางยา คุณค่าทางโภชนาการหากรู้จักกินเป็นอาหารรักษาโรค(เภสัชโภชนา)แล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพกับความงาม(ผิวพรรณและการลดน้ำหนัก)อีกด้วย จนอาจพูดได้ว่า แก้วมังกรเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกับผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น มะละกอ ส้ม กล้วย ฯลฯ ดังนั้นหากเรารู้จักเลือกรับประทาน "ผลไม้เพื่อสุขภาพ" ให้ถูกต้องย่อมเกิดผลดีกับร่างกายอย่างแน่นอน
แต่วิธีการกินผลไม้ที่ถูกต้องก็คล้ายกับการกินอาหารนั่นคือต้องกินให้หลากหลายจึงจะได้รับสารอาหารและประโยชน์อย่างครบถ้วน การกินผลไม้ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ไม่ใช่พอรู้ว่าแก้วมังกรมีประโยชน์และดีต่อสุขภาพมากมายหลายประการแล้วก็พยายามหาและกินเฉพาะแก้วมังกรเท่านั้นผลไม้อื่นที่นอกเหนือจากแก้วมังกรแล้วไม่ยอมกินเลย ถ้าทำอย่างนี้จะไม่ได้รับประโยชน์จากการกินผลไม้ที่ถูกต้องเรียกว่า "กินไม่เป็น" ดังนั้นให้เดินทางสายกลางคือกินแต่พอดีจะดีที่สุด
การปลูกแก้วมังกร
เนื่องจากแก้วมังกรเป็นพืชที่มีลำต้นอ่อนมีลักษณะเป็นไม้เลื้อย ดังนั้นวิธีการปลูกแก้วมังกรจึงต้องสร้างหลักให้ลำต้นของต้นแก้วมังกรเกาะยึด หลักที่ให้แก้วมังกรเกาะยึดจะเป็นเสาปูนหรือทำจากไม้เนื้อแข็งก็ได้โดยปักหลักให้สูงประมาณ 1.5 - 2.0 เมตร มีระยะห่างระหว่างหลักประมาณ 3 เมตร ด้านบนของหลักทำเป็นร้านให้กิ่งของแก้วมังกรแผ่ขยายออกไป รอบๆ หลักแต่ละหลักให้เตรียมหลุม 4 หลุมสำหรับปลูกกิ่งพันธุ์แก้วมังกรหลุมละ 1 ต้น ใช้ปุ๋ยหมักเก่ารองก้นหลุมประมาณหลุมละ 1 บุ้งกี๋ แล้วนำกิ่งพันธุ์แก้วมังกรมามัดให้แนบกับหลักแล้วทำบังแดดให้กิ่งพันธุ์แก้วมังกรประมาณ 1-2 อาทิตย์
วิธีการดูแลรักษาต้นแก้วมังกร
แก้วมังกรเป็นพืชที่ดูแลรักษาง่าย รดน้ำให้ดินชื้นแต่อย่าให้แฉะแล้วใช้ฟาง เศษหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้นเพื่อช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นของดินไว้ ใส่ปุ๋ยคอกหลักละ 1 บุ้งกี๋แล้วเสริมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หลักละ 1-2 ช้อนแกง การให้ปุ๋ยให้เว้นระยะ 2-3 เดือนต่อครั้งโดยดูจากความสมบูรณ์ของต้นแก้วมังกรเป็นสิ่งสำคัญ
ต้นแก้วมังกรที่ปลูกมาจากการใช้กิ่งปักชำหลังจากปลูกได้ประมาณ 8-10 เดือนก็จะเริ่มออกดอกและให้ผลผลิต โดยปกติแล้วต้นแก้วมังกรจะให้ผลผลิต 4 รุ่นใน 1 ปี ผลแก้วมังกรที่เก็บมาจากต้นสามารถวางขายในตลาดได้หลายวัน หากใส่ผลแก้วมังกรในถุงพลาสติกแล้วแช่เย็นจะเก็บไว้ได้ไม่น้อยกว่า 15 วันแต่ต้องระวังเรื่องการเปียกน้ำและความชื้นที่อาจจะทำให้ผลแก้วมังกรเน่าเสียได้ง่าย

ขอบคุณข้อมูลจาก thai-good-health.blogspot.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555


ออยล์พูลลิ่ง oil pulling นวดบำบัดผ่านช่องปาก

oil pulling therapy


          ออยล์พูลลิ่ง (Oil Pulling Therapy) เป็นวิธีบำบัดของอินเดียที่มีมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนน้ำมันไปให้ทั่วช่องปาก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้งไป ออยล์พูลลิ่งเป็นที่ฮือฮาเมื่อ Dr. F. Karach, M.D., ได้เสนอรายงานต่อที่ประชุมสัมนาบัณฑิตทางด้านวิทยาศาสตร์ในประเทศรัสเซียเมื่อปี พ.ศ. 2534-2535 การประชุมมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องมะเร็ง และแบคทีเรียซึ่ง Dr.Karach ได้อธิบายถึงการบำบัดรักษาโรคที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ด้วยวิธีง่ายๆ โดยใช้การอมน้ำมัน

          ผลลัพธ์ของการบำบัดด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้คนตะลึง ประหลาดใจ เต็มไปด้วยความสงสัยในรายงานของเขาเป็นอันมาก อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้มีการอธิบาย ซักถามกันถึงการรักษา มีการทดสอบ ทดลองใช้ ทดลองทำ พิสูจน์หาความสมเหตุสมผลที่เกิดขึ้น ต่างก็ยิ่งประหลาดใจถึงผลที่ได้รับจากการรักษาอย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่มีอันตรายใดๆ ด้วย เป็นการรักษาทางด้านชีววิทยาโดยแท้ ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ ช่วยรักษาโรคได้มากมายหลายชนิด

          Dr.Bruce Fife N.D.นักโภชนาการผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเขียนหนังสือไว้หลายเล่มรวมทั้ง Coconut Oil Miracle เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีความสงสัยในรายงานดังกล่าว จึงได้ทดลองทำออยล์พูลลิ่งด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ Dr. Fife ถึงกับออกปากว่า ออยล์พูลลิ่งเป็นการรักษาของแพทย์ทางเลือก ที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่สิ่งที่ Dr.Fife สงสัยคือ เหตุใดการอมน้ำมันจึงช่วยรักษาโรคได้ เขาเริ่มศึกษาการทำออยล์พูลลิ่งของ Dr. Karach อย่างจริงจัง รวมทั้งศึกษารายงานอีกเป็นร้อยๆ ชิ้น ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปที่เป็นคำตอบทางวิทยาศาสตร์ซึ่ง Dr. Fife เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Oil Pulling Therapy มีใจความบางตอนดังนี้

ในปากของคนเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย

          ในปากของเราเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และโปรโตซัว แต่ส่วนใหญ่เป็นแบคทีเรีย เพราะปากเป็นแหล่งอาศัยที่เหมาะสม มีความร้อน ความชื้น และอุณหภูมิคงที่ ยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์จากเศษอาหารที่เรารับประทาน กล่าวกันว่าปริมาณแบคทีเรียในปากของคนคนหนึ่ง มีมากกว่าจำนวนประชาการของคนทั้งโลก แบคทีเรียบางชนิดอาศัยอยู่บนผิวฟัน บางชนิดอยู่ในช่องว่างระหว่างฟันและเหงือก บางชนิดอยู่ที่เพดานปาก และบางชนิดอยู่ที่ใต้ลิ้นและโคนลิ้น การแปรงฟันและการใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยลดปริมาณแบคทีเรียเหล่านี้ลงได้แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งไม่นานก็จะกลับมาแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นเดิม

 โรคร้ายทุกชนิดเริ่มต้นที่ปาก

          อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่หากไม่นับโรคทางพันธุกรรม โรคทางอารมณ์ หรือโรคจากการบาดเจ็บต่างๆ โรคร้ายเกือบทุกชนิด รวมทั้งการเจ็บป่วยเรื้อรังต่างๆ ล้วนเริ่มต้นที่ปาก เนื่องจากปากเป็นประตูเข้าสู่ร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกต้องหรืออาหารที่มีพิษ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ยิ่งกว่านั้นในปากและลำไส้ยังเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียนับพันล้านตัว บางชนิดเป็นอันตราย บางชนิดไม่ และบางชนิดเป็นประโยชน์ ถ้าแบคทีเรียเหล่านี้สามารถเข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่แบคทีเรียชนิดที่ไม่เป็นอันตรายก็สามารถทำให้เราถึงแก่ความตายได้ หากในปากของเรามีแผล หรือมีการอักเสบของเหงือกหรือเนื้อเยื่อ จะทำให้แบคทีเรียสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้โดยง่าย เป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ตั้งแต่โรคไขข้ออักเสบไปจนถึงโรคหัวใจ
oil pulling therapy



ออยล์พูลลิ่งทำงานอย่างไร?

          ออยล์พูลลิ่งเป็นการบำบัดที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่ก็มีประสิทธิภาพมากที่สุดในบรรดาการรักษาทางธรรมชาติด้วยเช่นกัน สำหรับหลายๆ คนมีความรู้สึกว่า แค่การอมและเคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆ ปาก ไม่น่าจะช่วยรักษาโรคได้ อันที่จริงออยล์พูลลิ่งไม่ได้รักษาโรค แต่มันช่วยขจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หรือเป็นตัวการปล่อยสารพิษให้หมดไป เพื่อให้ร่างกายมีโอกาสได้ฟื้นฟู

          ออยล์พูลลิ่งเป็นกระบวนการทางชีววิทยาล้วนๆ แบคทีเรียในช่องปากที่ก่อให้เกิดโรคส่วนใหญ่เป็นสัตว์เซลล์เดียว เซลล์เหล่านี้ปกคลุมด้วยน้ำมันหรือเนื้อเยื่อที่เป็นไขมันซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของผิวเซลล์ (เซลล์ของคนเราก็ล้อมรอบด้วยส่วนผสมของไขมันเช่นเดียวกัน) เมื่อคุณเทน้ำมันลงในน้ำ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำกับน้ำมันจะแยกกันอยู่ไม่ยอมผสมรวมกัน แต่ถ้าคุณเทน้ำมันสองชนิดเข้าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ น้ำมันทั้งสองจะผสมรวมและดึงดูดซึ่งกันและกัน นี่คือความลับของออยล์พูลลิ่ง

          เมื่อคุณใส่น้ำมันลงในปาก เนื้อเยื่อที่เป็นน้ำมันหรือไขมันของแบคทีเรียจะถูกน้ำมันดูดไว้ ขณะคุณเคลื่อนน้ำมันไปทั่วช่องปาก แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยแยกของเหงือกและฟันหรือตามซอกของฟัน จะถูกดูดออกจากที่ซ่อนและติดแน่นอยูในส่วนผสมของน้ำมัน ยิ่งนานยิ่งมาก หลังจากผ่านไป 20 นาที ส่วนผสมของน้ำมันจะเต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส ฯลฯ คุณจึงควรบ้วนทิ้งไปมากกว่าที่จะกลืนมัน

          เศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟันซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียจะถูกดูดออกด้วยเช่นกัน สิ่งที่ไม่ใช่น้ำมัน (water based) จะถูกดูดออกด้วยน้ำลาย น้ำลายยังช่วยลดกรดที่เกิดจากแบคทีเรีย

          เมื่อแบคทีเรียรวมทั้งพิษร้ายที่เกิดจากแบคทีเรียถูกดูดออกไป จึงเป็นโอกาสดีที่ร่างกายได้ทำการฟื้นฟู การอักเสบทั้งหลายหมดไป กระแสเลือดเป็นปกติ เนื้อเยื่อที่เสียหายได้รับการซ่อมแซม การมีสุขภาพดีจึงกลับมาในที่สุด


 น้ำมันชนิดใดเหมาะจะใช้ทำออยล์พูลลิ่ง?

          ตามตำราโบราณของอินเดียแนะนำให้ใช้น้ำมันดอกทานตะวันหรือน้ำมันงา เนื่องจากเป็นน้ำมันที่หาได้ทั่วไปในอินเดียขณะนั้น Dr. Fife กล่าวว่า น้ำมันชนิดใดก็สามารถใช้ทำออยล์พูลลิ่งได้ แต่โดยส่วนตัวแล้วชอบน้ำมันมะพร้าว เนื่องจากต้องการใช้น้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ น้ำมันมะพร้าวเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันงา หรือน้ำมันพืชชนิดใดๆ กรดลอริคในน้ำมันมะพร้าวเมื่อถูกกับเอนไซม์ในน้ำลายจะแตกตัวเป็นโมโนกลีเซอไรด์ชื่อว่า โมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค เหตุผลอีกประการหนึ่ง น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นที่ได้รับการผลิตอย่างมีคุณภาพจะ มีความสะอาดถูกอนามัย แถมยังมีกลิ่นและรสชาติน่าพอใจอีกด้วย

วิธีการทำออยล์พูลลิ่ง

           ทำขณะที่ท้องว่าง จะดื่มน้ำก่อนหรือไม่ก็ได้
           ใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์บีบเย็นประมาณ 2-3 ช้อนชา อมไว้ในปาก
           ค่อยๆ ดูด ดัน และดึง ให้น้ำมันไหลผ่านฟันและเหงือก
           น้ำมันจะเปลี่ยนเป็นขุ่นหรือมีสีเหลือง
           เคลื่อนน้ำมันไปทั่วๆ ปากอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 15-20 นาที จากนั้นให้บ้วนน้ำมันทิ้งไป
           บ้วนปากด้วยน้ำสะอาด ตามด้วยการดื่มน้ำ
           ทำอย่างนี้วันละครั้งเป็นอย่างน้อย

 โรคที่ได้รับรายงานว่าตอบสนองต่อการทำออยล์พูลลิ่ง

          ผลของการทำออยล์พูลลิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ สุขภาพในช่องปากดีขึ้น ฟันขาวขึ้น แน่นขึ้นไม่โยกคลอน เหงือกเป็นสีชมพูแลดูมีสุขภาพ ลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าออยล์พูลลิ่งจะช่วยเยียวยาความเจ็บไข้หรืออาการป่วยเรื้อรังได้อีกหลายชนิด ต่อไปเป็นชื่อของโรคหรืออาการเจ็บป่วยที่มีผู้รายงานเข้ามาว่ามีการตอบสนองที่ดีกับออยล์พูลลิ่ง: สิว ภูมิแพ้ รังแค ไซนัส ปวดหัวไมเกรน น้ำมูกมาก หืด หลอดลมอักเสบ ผิวหนังอักเสบ   เรื้อนกวาง ปวดหลังปวดคอ ข้ออักเสบ กลิ่นปาก ฟันผุ   ฟันเป็นหนอง เลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก ท้องผูก แผลในกระเพาะ ลำไส้ ลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร นอนไม่หลับ อ่อนเพลียเรื้อรัง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับประจำเดือน

          ส่วนอาการหรือโรคที่การศึกษาทางการแพทย์พบว่าเกี่ยวข้องกับสุขภาพในช่องปากโดยตรงและอาจมีผลตอบสนองกับการทำออยล์พูลลิ่งได้แก่ ปัสสาวะเป็นกรด ปอดอักเสบ( ARDS)ถุงลมโป่งพอง การอุดตันของเส้นเลือดและเส้นเลือดในสมอง   ผลเลือดผิดปกติ ฝีในสมอง มะเร็ง เกาท์ ถุงน้ำดี หัวใจ น้ำตาลในเลือดสูง แท้งบุตร ไต ตับ ความผิดปกติของระบบประสาท กระดูกพรุน ปอดบวม ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย แพ้สารพิษ และโรคติดเชื้ออื่นๆ อีกหลายชนิด

 ช่วงเวลาที่เหมาะจะทำออยล์พูลลิ่ง
oil pulling therapy


          จากกราฟแสดงให้เห็นว่า ปริมาณของแบคทีเรียในช่องปากมีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างวัน การรับประทานทำให้แบคทีเรียบางส่วนผสมกับอาหารและน้ำลายในที่สุดถูกกลืนลงไป ปริมาณแบคทีเรียมีมากสุดในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร การแปรงฟันช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้ไม่มาก เนื่องจากฟันมีพื้นที่แค่ 10% ของช่องปาก ก่อนอาหารกลางวันปริมาณแบคทีเรียจะเพิ่มสูงขึ้นเกือบเท่าตอนก่อนอาหารเช้า และลดลงมากที่สุดภายหลังรับประทานอาหารเย็น เมื่อคุณหลับแบคทีเรียมีโอกาสกลับมาเพิ่มจำนวนขึ้นใหม่โดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน การทำออยล์พูลลิ่งจึงควรทำเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แบคทีเรียในช่องปากมีปริมาณมากที่สุด

  
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
อัจฉรา น้อยคำมูล

จับตาเทรนด์อาหารสุขภาพปี 2555
คุณชนิกา จรจำรัส ทวิทิพอาภา นักกำหนดอาหาร สมาคมนักกำหนดอาหาร กล่าวว่า สำหรับ ปี 2555 ช่วงนี้เทรนด์สมุนไพรกับสุขภาพต่างๆมีค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่เรื่องขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กระเทียม หอม สามารถทานได้ทุกฤดู ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศบ้านเราด้วย เพราะว่าตอนนี้แปรปรวนเหลือเกิน อากาศเย็นๆแบบนี้ น้ำขิงก็ช่วยได้นะคะ ขับลมอะไรต่างๆด้วย นอกจากสมุนไพรแล้ว ในเรื่องของอาหารชะลอชรา หรือ Entry Aging ก็มาแรงแซงโค้งเลยนะคะ ยิ่งกว่า Fast Food เสียอีก รวมไปถึงคอลลาเจนด้วย ที่มีเยอะตามท้องตลาด
ในเรื่องของอาหารต้านชรา พวก Entry Aging ทั้งหลาย เริ่มแรกก็คงต้องมาจากอาหารการกินก่อน เดี๋ยวนี้ค่อนข้างมาเป็นซองๆซะเยอะ อย่างคนนี้แนะนำให้ทาน มาละ 10 เม็ด คนนี้แนะนำว่าดีมากเลย ให้มากอีก โดยที่ไม่ได้ศึกษาร่างกายของตัวเองเลยว่าต้องการอะไร ร่างกายตัวเองมีอะไรที่พร่องไปหรือมันดีอยู่แล้ว สมดุลอยู่แล้ว หรือบางตัวมันเกิน อย่างคนไข้ของดิฉันบางคน ทานเยอะมาก ทานโดยที่ไม่ได้ตรวจเลือด ตรวจสภาวะร่างกายก่อน แต่จริงๆแล้วถ้าเราได้มีการตรวจสภาพร่างกายก่อน มีการตรวจเลือด อาจจะดูสภาวะเม็ดเลือดเป็นอย่างไรบ้าง มีไขมันมาเกาะไหม ตัวไหนเกิน อะไรแบบนี้ หรือควรได้วิตามินบางตัว อะไรบ้าง อันนั้นจะมีประโยชน์กับเรามากกว่า จริงๆแล้วนอกจากเรื่องของเทรนด์อาหาร วิธีการดูแลแบบ Entry Aging ที่เฉพาะบุคคลมันก็จะมาด้วยสำหรับเทรนด์นี้จะมาแรงเลย คือ การตรวจสภาวะ การตรวจเลือดก่อน ตรวจความผิดปกติของร่างกาย โดยใช้เครื่องชนิดพิเศษ ปัจจุบันสำหรับที่อเมริกาเขาก็เริ่มใช้กันแล้ว ในบ้านเราก็เริ่มมีแล้ว ก่อนที่จะรับประทานอะไร ปกติหลายคนลบอกว่า วิตามิน ซี ดี อี ทุกคนตื่นมาจะต้องกิน ซ กิน เอ กิน อี อะไรก็ตาม แต่คราวนี้ เราจะต้องไปตรวจร่างกายก่อนว่าร่างกายขาดอะไร แล้วหมอก็จะให้วิตามินหรืออาหารเสริมที่เหมาะกับคุณ บางคนบอกว่าอันนี้ฉันจัดมาเพื่อเธอแล้ว แต่ความจริงเลือดยังไม่ได้ตรวจเลย ยังไม่ได้นั่งคุยกันเลยว่าพฤติกรรมการรับประทานอาหารของเราเป็นอย่างไรบ้าง ปัจจุบันจะเป็นทางด้านการค้ามากกว่า
โดยองค์ความรู้ทางด้านอาหารต้านชราหรือชะลอวัยนี้เป็นศาสตร์ที่ดีมากเลย เราจะทำอย่างไรให้คนทุกคนเข้าถึงบริการนี้ได้อย่างง่ายๆ ไม่ใช่คนมีเงินเท่านั้นที่จะได้รับบริการแบบนี้ ดิฉันอยากให้บริการที่ดีๆเหล่านี้เข้าถึงทุกคนเลย จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง Entry Aging หรืออายุยืนยาวไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องของริ้วรอย แต่รวมไปถึงร่างกายข้างในด้วย สำหรับคนไข้บางคนปวดศีรษะ ไปรักษามาหลายหมอแล้ว เปลี่ยนยาเป็นแผนปัจจุบันก็แล้ว อะไรก็แล้ว แต่ก็ไม่หาย เราก็ต้องดูว่าปวดศีรษะเกิดจากอะไร หลังจากซักประวัติแล้ว นอนเพียงพอไหม อะไรต่างๆ มีเรื่องเครียดหรือเปล่า อาหารก็มีส่วนสำคัญด้วยเหมือนกัน แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เราจะต้องตรวจเลือดก่อน อย่างเช่น เราจะต้องตรวจสารสื่อประสาท แค่การตรวจปัสสาวะเอง ง่ายๆ ตรวจสารสื่อประสาทในปัสสาวะ เป็นต้น เราก็จะทราบแล้วว่าคนนั้นมีปัญหาอะไรบ้าง ก่อนที่จะให้คำแนะนำในเรื่องของอาหารการกินว่า ควรจะทานอันนี้นะ ควรหลีกเลี่ยงอันนี้
สำหรับผักพื้นบ้านก็มีคนทำวิจัยกันเยอะว่าเราต้องหันมารณรงค์ทานผักบ้านเรา กันเยอะมากขึ้นไหม ถ้าพูดถึงผักพื้นบ้านบ้านเรานี้มีวิตามิน คุณค่าทางสารอาหาร อะไรพวกนี้ก็ครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมะรุม ที่ยังมาแรงอยู่ เรื่องของสะเดาต่างๆ ยอดสะเดา กระถิ่น หรือว่าผักแพว ขี้เหล็ก ได้ทั้งยอดขี้เหล็ก ใบขี้เหล็ก ดอกขี้เหล็ก สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง คนเมืองอิจฉานะ เพราะคนที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเขามีผักสดกิน ส่วนคนในเมืองจะรู้จักแต่ผักเศรษฐกิจกันซะส่วนใหญ่
อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังฮิตก็คือ อาหารพวกปรุงน้อย พวกรสธรรมชาติ หรือ Low Food ไม่ใช่อาหารดิบ กินปลาดิบ หรือผักดิบ แต่เป็นอาหารที่ปรุงน้อย เครื่องปรุงน้อย เรียกง่ายๆคืออาหารที่ผ่านความร้อนน้อยที่สุด วิตามินหรือคุณค่าทางอาหารจะได้ไม่สูญหายตามหลักโภชนาการ

ในแง่ของการดูแลสุขภาพ อย่าง Entry Aging ให้เซลล์ของตัวเองดี ให้ในร่างกายของตัวเองดี ไม่ต้องทานอาหารเสริมเยอะๆ แต่กินอาหารรอบตัว ดูแลดี คุณชนิกา จรจำรัส ทวิทิพอาภา ได้ฝากไว้ว่า จริงๆแล้วอาหารที่จะชะลอชราเลยต้องเริ่มมาจากพื้นฐานร่างกายที่ดีก่อน อาหารเราต้องทานให้ครบหมวดก่อน อันดับแรกเลยและสำคัญที่สุด ครบ 5 หมู่เลย จานสุขภาพของเรา


อันที่สองคือในเรื่องของน้ำดื่ม เรื่องของการจัดการน้ำในร่างกายของเรา คือ ตั้งแต่ตื่นนอนเลย ยังไม่ต้องทำอะไร ตื่นนอนแล้วดื่มน้ำทันที ย้ำว่าต้องเป็นน้ำอุ่นด้วยถึงจะดี เริ่มแรกเลยตอนที่เราตื่นมา ถ้าเราดื่มน้ำแบบพรวดลงไปเลย จะทำให้เราระบายดี แต่ถ้าระหว่างวันใช้เป็นค่อยๆจิบก็ได้ ความจริงตอนเช้าร่างกายของเราต้องการน้ำมาก เพราะถ้าลองนึกดู ตั้งแต่เรานอนจนถึงตื่นนอนร่างกายเราไม่ได้รับน้ำเลย เมื่อเราดื่มน้ำเสร็จร่างกายเราจะสดชื่นขึ้นมาทันที ในเรื่องของอาหาร จะต้องครบทั้ง 5 หมู่ ในเรื่องของน้ำก็สำคัญ ถ้าอยากจะมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบ้าง ซึ่งเราก็ห้ามคนไข้ไม่ได้จริงๆ เพราะทุกคนก็ทาน แต่เราอยากให้ตรวจสภาพร่างกายกันก่อน

และที่สำคัญที่สุดก็คือในเรื่องของจิตใจ การออกกำลังกาย เป็นเรื่องสำคัญ

สำหรับปลา ถือว่าเป็นอาหารชะลอวัยได้ เพราะปลาถือว่าเป็นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ในหมวดโปรตีนทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ควรเลือกทานปลาไว้ก่อน หมูเอาไว้ท้ายๆ เนื้อขาวกับเนื้อแดง ควรเลือกเนื้อขาวไว้ก่อน เน้นการชะลอชราได้


ช่วย “ตับ” ขับพิษด้วยอาหาร

ช่วย “ตับ” ขับพิษด้วยอาหาร


เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้ว ว่า ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกาย ดังนั้น การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับเป็นประจำจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ตับได้ ซึ่งการที่ตับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมส่งผลให้ร่างกายมีพลังมากขึ้น


นอกจากหน้าที่ในการขับสารพิษแล้ว ตับยังช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เมื่อร่างกายต้องการตับที่แข็งแรงจะส่งผลให้มีสุขภาวะที่ดี เพราะตับช่วยลดการติดเชื้อ โดยช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย เราจึงต้องดูแลตับด้วยการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์เสียแต่วันนี้

อาหารอันดับต้นๆ ที่ช่วยตับในการล้างพิษได้แก่ กระเทียม หัวหอม มะนาว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำและกะหล่ำปลี เพราะจะทำให้สารพิษที่เจือปนมากับอาหารอื่นนั้นมีสภาพเป็นกลาง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการผลิตน้ำดีซึ่งช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหารและลำไส้ รวมถึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
 
ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงได้แก่ องุ่น ส้ม แคนตาลูป มะละกอ พรุน ลูกเกด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ จะช่วยปกป้องตับจากสารอนุมูลอิสระที่จะมีปริมาณสูงขึ้นในกระบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย
นอกจากนี้อาหารที่มีวิตามินบีสูงอย่างธัญพืชที่ไม่ขัดสีต่างๆ และผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซี อย่างพืชที่มีรสเปรี้ยวและผักใบเขียวทั้งหลาย จะช่วยในกระบวนการล้างพิษของตับ ส่วนอาหารที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ ได้แก่ “เลซิติน” ซึ่งมี
 
มากในไข่แดง ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก เนื้อปลา ส่วน “ธาตุสังกะสี” ที่มีมากในเนื้อสับ ถั่วขาว เนื้อไก่และหอยนางรมก็ช่วยให้ตับทำหน้าที่ได้ดีขึ้น
หากจะดูแลรักษาตับอย่างเห็นผลก็ไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับสามารถผลิตคอเลสเตอรอลได้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว สิ่งสำคัญในการป้องกันอันตรายให้แก่ตับ และเพื่อหลีกเลี่ยงโรคตับแข็ง ก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์เพื่อให้
 
อวัยวะหนึ่งเดียวนี้ช่วยขับพิษให้ ร่างกายได้อีกนาน

ที่มา :หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ